ค่าโฆษณา จัดอยู่ในเงินได้ประเภท 40(8) ไม่ต้องมีการหักภาษี ณ ที่จ่าย 2. การโฆษณา Google แน่นอนต้องมีคนในประเทศไทยเห็น ถือว่าเป็นบริการในต่างประเทศและมีการใช้บริการในประเทศไทย ต้องนําส่งภาษีมูลค่าเพิ่ม(ภ. 36) และบริษัทผู้จ่ายเงินได้สามารถนําใบเสร็จที่ได้จากกรมสรรพากรมาหักเป็นภาษีซื้อของบริษัทตนเองได้ ตัวอย่าง 2 การจ่ายค่า Software บริษัทในประเทศไทยซื้อโปรแกรม Software จากคู่ค้าในประเทศสหรัฐอเมริกา เรามาพิจารณาว่า โปรแกรม Software จัดอยู่ในเงินได้ประเภทใด และค่าบริการดังกล่าว เป็นให้บริการในต่างประเทศ และมีการใช้บริการในประเทศไทยหรือไม่ คำตอบคือ 1. ค่าโปรแกรม Software จัดเป็นเงินได้ประเภท 40(3) ค่าสิทธิ ผู้จ่ายเงินได้มีหน้าที่ในการหัก ณ ที่จ่าย 5% (เพราะประเทศสหรัฐอเมริกา มีการจดอนุสัญญาภาษีซ้อนกับประเทศไทย ระบุว่าถ้าจ่ายค่า Software ให้หักภาษี ณ ที่จ่ายเพียง 5%) และนําส่งกรมสรรพากรด้วยแบบ (ภ. 54) 2. ค่าโปรแกม Software นั้นถูกนํามาใช้ในประเทศไทย ดังนั้นต้องนําส่งภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% (ภ. 36) และบริษัทผู้จ่ายเงินได้สามารถนําใบเสร็จที่ได้จากกรมสรรพากรมาหักเป็นภาษีซื้อของบริษัทตนเองได้เช่นกัน IDG บริการรับทำบัญชีและภาษี ให้คำแนะนำพื้นฐานทางด้านการจัดทำเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการทำบัญชีและภาษี สอบถามเพิ่มเติม Click!
ศ.
2496 ที่มิได้ระบุไว้ในมาตรา 8 ให้หักค่าใช้จ่ายตามความจำเป็นและสมควร ทั้งนี้ ให้นำมาตรา 65 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 21) พ. 2506 มาใช้บังคับโดยอนุโลม" สุดท้ายนี้ พรี่หนอมฝากทุกคนติดตามบทความภาษีที่ บล็อกภาษีข้างถนน และแฟนเพจ TAXBugnoms ด้วยนะครับ ขอบคุณครับผม ตอบปัญหาภาษีแบบภาษาคน อ่านปุ๊บเข้าใจปั๊บ by Taxbugnoms หรือ พรี่หนอม aomMONEY GURU
1. เงินได้พึงประเมินประเภทที่ 1 และ 2 ในการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดากฎหมายให้หัก ค่าใช้จ่ายเป็นการเหมา ได้ตามเงื่อนไขที่กำหนด ดังนี้ (1) ผู้มีเงินได้สามารถหักค่าใช้จ่ายเป็นการเหมาได้ร้อยละ 40 ของเงินได้แต่รวมกันแล้วต้อง ไม่เกิน 60, 000 บาท (2) ในกรณีสามีภริยา ต่างฝ่ายต่างมีเงินได้ และความเป็นสามีภริยาได้มีอยู่ตลอดปีภาษี ให้ต่างฝ่ายต่างหักค่าใช้จ่ายได้ร้อยละ 40 แต่ไม่เกินฝ่ายละ 60, 000 บาท 2. เงินที่นายจ้างจ่ายให้ครั้งเดียวเพราะเหตุออกจากงาน ตามหลักเกณฑ์วิธีการและเงื่อนไขที่อธิบดีกำหนดในประกาศอธิบดีฯ (ฉบับที่ 45) ให้คำนวณภาษีตามเกณฑ์ในมาตรา 48(5) แห่งประมวลรัษฎากร เป็น เงินภาษีทั้งสิ้นเท่าใด ให้หักภาษี ณ ที่จ่ายไว้เท่านั้น การคำนวณตามเกณฑ์ในมาตรา 48(5) แห่งประมวลรัษฎากร มีหลักเกณฑ์ดังนี้ 3. เงินได้พึงประเมินประเภทที่ 3 ในการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดากฎหมายยอมให้หักค่า ใช้จ่ายได้เฉพาะเงินได้ที่เป็นค่าแห่งลิขสิทธิ์ โดยให้หักเป็นการเหมาได้ร้อยละ 40 ของค่าแห่งลิขสิทธิ์แต่ไม่เกิน 60, 000 บาท สำหรับค่าแห่งกู๊ดวิลล์ หรือสิทธิอย่างอื่น เงินปี หรือเงินได้ที่มีลักษณะเป็นเงินรายปีอันได้มาจาก พินัยกรรม นิติกรรมอย่างอื่น หรือคำพิพากษาของศาล ไม่ยอมให้หักค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งสิ้นในกรณีสามีและภริยาต่างฝ่ายต่างมีเงินได้ประเภทนี้ และความเป็นสามีภริยาได้มีอยู่ตลอดปีภาษี ให้ต่างฝ่ายต่างหักค่าใช้จ่ายได้ตามเกณฑ์เดียวกัน 4.
เงินได้พึงประเมินประเภทที่ 4 ในการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา กฎหมายไม่ยอมให้หัก ค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น 5. เงินได้พึงประเมินประเภทที่ 5 ในการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา กฎหมายให้หักค่าใช้จ่ายได้ ดังนี้ คือ (1) การให้เช่าทรัพย์สิน ผู้มีเงินได้มีสิทธิเลือกหักค่าใช้จ่ายวิธีใดวิธีหนึ่งดังนี้ ก. หักตามความจำเป็นและสมควรหรือ ข.
เงินได้พึงประเมินประเภทที่ 6 ในการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา กฎหมายยอมให้เลือกหัก ค่าใช้จ่ายวิธีใดวิธีหนึ่งดังนี้ - ให้หักตามความจำเป็นและสมควรหรือ - ให้หักเป็นการเหมาดังต่อไปนี้ - เงินได้จากการประกอบวิชาชีพอิสระ การประกอบโรคศิลป ให้หักค่าใช้จ่ายร้อยละ 60 - เงินได้จากการประกอบวิชาชีพอิสระนอกจาก 1) หักค่าใช้จ่ายได้ร้อยละ 30 7. เงินได้พึงประเมินประเภทที่ 7 ในการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา กฎหมายยอมให้หักค่า ใช้จ่ายวิธีใดวิธีหนึ่ง ดังนี้ - หักตามความจำเป็นและสมควร หรือ - หักเป็นการเหมาในอัตราร้อยละ 70 8. เงินได้พึงประเมินประเภทที่ 8 ในการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา กฎหมายยอมให้เลือกหัก ค่าใช้จ่ายวิธีใดวิธีหนึ่ง ดังนี้ - หักเป็นการเหมาในอัตราร้อยละตามที่กฎหมายกำหนด
5% และ เราจะใช้วิธีนี้คำนวณภาษีเมื่อเรามีเงินได้ที่ไม่ใช่เงินเดือนรวมกันทั้งปีเกินกว่า 1 ล้านบาทเท่านั้น หลายคนอาจจะสงสัยว่าตัวเลข 1 ล้านบาทมาจากไหน เพราะถ้าเปิดกฎหมายเทียบเคียงดูจะพบว่า วิธีการคำนวณจากเงินได้พึงประเมินนั้น กำหนดให้คำนวณเมื่อมีเงินได้ตั้งแต่ 120, 000 บาทต่างหาก อย่างที่กฎหมายด้านล่างนี้ว่าไว้ มาตรา 48 (2) สำหรับผู้มีเงินได้พึงประเมินตั้งแต่ 120, 000 บาทขึ้นไป การคำนวณภาษีตาม (1) ให้เสียไม่น้อยกว่าร้อยละ 0. 5 ของยอดเงินได้พึงประเมิน นั่นเป็นเพราะว่า มีกฎหมายอีกหนึ่งฉบับ คือ พระราชกฤษฎีกาฉบับที่ 480 กำหนดยกเว้นให้ไม่ต้องเสียภาษีจากการคำนวณตามวิธีเงินได้พึงประเมิน ถ้าหากคำนวณภาษีแล้วได้ไม่เกิน 5, 000 บาท ดังนี้ครับ มาตรา 3 ให้ยกเว้นภาษีเงินได้ตามส่วน 2 หมวด 3 ในลักษณะ 2 แห่งประมวลรัษฎากร ให้แก่ผู้มีเงินได้สำหรับภาษีที่ต้องเสียตามมาตรา 48(2) เฉพาะกรณีผู้มีเงินได้มีภาษีที่ต้องเสียทั้งสิ้นจำนวนไม่เกินห้าพันบาทในปีภาษีนั้น ทั้งนี้ สำหรับเงินได้พึงประเมินที่ได้รับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ. ศ. 2552 เป็นต้นไป จึงสรุปได้ว่า ถ้าเรามีเงินได้อื่นที่ไม่ใช่เงินเดือน (เงินได้ประเภทที่ 1) ที่รวมกันแล้วไม่ถึง 1 ล้านบาท เราก็ไม่ต้องใช้วิธีเงินได้พึงประเมินนี้ในการคำนวณภาษีของเรานั่นเองครับ ยกตัวอย่างเช่น นายบักหนอมมีรายได้ 2 ทาง โดยได้รับจากการทำงานเป็นมนุษย์เงินเดือนจำนวน 1, 000, 000 บาท และได้รับจากการเป็นฟรีแลนซ์รับจ้างทำงาน (ไม่ใช่เงินเดือน) จำนวน 1, 500, 000 บาท แปลว่า นายบักหนอมต้องคำนวณภาษีตามวิธีเงินได้พึงประเมิน เพราะมีเงินได้ฟรีแลนซ์เกิน 1 ล้านบาท โดยคำนวณแล้วพบว่าต้องเสียภาษีจำนวน 7, 500 บาท (1, 500, 000 x 0.
ง. ด. 90 หรือ 91) ภายในเดือนมีนาคมของปีถัดไป ส่วนคำว่า ภาษีครึ่งปี หมายถึง ภาษีบุคคลธรรมดาที่คำนวณจากรายได้ประเภทที่ 5 – 8 ตั้งแต่เดือน มกราคม – มิถุนายน ของทุกปี และเรามีหน้าที่ยื่นแบบแสดงรายการภาษี (ภ. 94) ภายในเดือนกันยายนของปีเดียวกัน ดังนั้น สิ่งที่เราควรทำความเข้าใจเพิ่มเติมจากความสัมพันธ์ของภาษีเงินได้สิันปีและครึ่งปี นั่นคือ รายได้เท่าไรต้องเสียภาษี และ เงินได้พึงประเมิน 8 ประเภท มีอะไรบ้าง?
หักค่าใช้จ่ายได้เท่าไหร่บ้าง K. Pair ที่ปรึกษาด้านกลยุทธ์และการเงินคนหนึ่ง | นักลงทุนที่สนใจในหุ้นและอนุพันธ์เป็นพิเศษ | ชื่นชอบเรื่องราวเกี่ยวกับเศรษฐกิจและเศรษฐศาสตร์มหภาค (ถ้าหากว่าบทความเป็นประโยชน์สามารถติดตามเราบน Facebook หรือ Twitter)